วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
7 Habits for High Effective People (Part II)
7 Habits for High Effective People (Part II)
4.) Think win win การที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับใครก็แล้วแต่นั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือ จะต้องเปลี่ยนความคิดที่จะเอาชนะแต่ฝ่ายเดียว มาเป็นความคิดที่ว่า ชนะทั้งคู่ ไม่มีใครแพ้หรือรู้สึกแพ้นั่นเอง
ยกตัวอย่างเป็น 4 กรณี
กรณีที่ 1 - หัวหน้ากับลูกน้อง หัวหน้ามักจะมีความคิดที่จะต้องชนะลูกน้อง เพราะคิดว่าเราเป็นหัวหน้าต้องเหนือกว่าลูกน้องในทุกด้าน ลูกน้องห้ามเกินหน้าเกินตา ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าเขาได้ตามที่เขาต้องการและเราก็ได้ตามที่เราต้องการ แบบนี้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะยั่งยืนมากกว่า เช่น ถ้าเราอยากเป็นหัวหน้าที่ดีก็ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง ไม่ทำตัวข่มลูกน้องหรือทำให้ลูกน้องเสียหน้า ไม่ตำหนิลูกน้องต่อหน้าคนอื่น คอยส่งเสริมให้ลูกน้องเราได้ดี เวลามีผลงานก็ชื่นชมและบอกกับคนอื่นว่านี่คือผลงานของเขา
กรณีที่ 2 - เพื่อนร่วมงาน สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ ลดการข่มในทีลงบ้าง เราไม่จำเป็นต้องเอาชนะเพื่อนเราทุกอย่าง เวลาเขาพูดอะไร เราก็ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหรอกว่า "เรารู้แล้ว รู้นานแล้ว รู้มากกว่าด้วย" แบบนี้เป็นใครก็คงไม่ชอบ ถ้าเรารู้แล้ว ไม่ข่ม แต่พูดเพื่อทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ และเสริมในสิ่งที่เรารู้มากกว่าเข้าไป เขาก็จะรู้สึกว่าเรารับฟังเขาและยังส่งเสริมเขาอีกด้วย เขาก็จะรุ้สึกดีใจมากกว่า
กรณีที่ 3 - พ่อแม่กับลูก พ่อแม่ที่ดุลูกและต้องการเอาชนะลูกทุกอย่างเพราะคิดแค่เพียงว่าเขาเป็นพ่อแม่ต้องเหนือกว่าลูก ลูกก็จะกลายเป็นเด็กเก็บกด ถ้าต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ไม่ใช่เอาแต่ดุด่าว่ากล่าว โดยไม่ฟังสิ่งที่ลูกพูด เพราะแบบนี้พ่อแม่ชนะ-ลูกแพ้ แต่ลูกก็จะไปเอาชนะด้วยวิธีอื่นที่ไม่ถูกต้องแทน สุดท้ายพ่อแม่ก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง พ่อแม่ต้องคอยทำความเข้าใจ ค่อยสอนค่อยๆบอก โดยรับฟังเหตุผลของลูก และค่อยๆ แนะนำเค้ากลับไปด้วยเหตุผล แบบนี้จะรู้สึกดีทั้งสองฝ่ายมากกว่า
กรณีที่ 4 - สามีภรรยา อยู่ด้วยกันก็ย่อมจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นปกติ บางคนจะต้องเอาชนะให้ได้ โดยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียหน้าหรืออับอาย บางครั้งก็ทำไปเพื่อสร้างความสะใจให้กับตนเองมากกว่า เมื่อไหร่ที่มีแบบนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีก็จะไม่เกิดขึ้นได้เลย
นิสัยแบบ win-win ไม่ใช่การที่เรายอมให้คนอื่นชนะ เมื่อไหร่ที่เรายอม แปลว่า เรา Lose เมื่อเรารู้สึก Lose เมื่อไหร่ ก็จะทำให้เรารู้สึกไม่ดีเมื่อนั้น ฉะนั้นเราจะต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า สรุปแล้วสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ เป็นนิสัยแบบไหน
5.) Seek first to understand and then to be understood ถ้าอยากจะให้คนอื่นเข้าใจเรา เราจะต้องเข้าใจคนอื่นก่อน
คนเราส่วนใหญ่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ว่าเราจะพูดหรือทำอะไรก็อยากให้คนมาเข้าใจว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น แต่ไม่ค่อยจะมีคนไหนที่อยากจะเข้าใจคนอื่นก่อนว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น
หลักการสำคัญที่สุดก็คือ การฟัง แต่ต้องเป็นการฟังอย่างเข้าใจผู้อื่นเลยว่าเขาคิดอย่างไร ไม่ใช่แค่ฟังอย่างตั้งใจเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจกันเลยทีเดียว เสมือนว่าเราเป็นคนที่เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น
"เมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าเรากำลังเข้าใจเขา เขาก็พร้อมที่จะเข้าใจเราเช่นกัน"
6.) Synergize คือ การสร้างผลลัพธ์แบบทวีคูณจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น
เป็นเรื่องของการสร้างทีมงาน และการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้เกิดผลแบบทวีคูณ แบบที่เรียกว่า 1+1 ต้องได้มากกว่า 2 โดยต้องอาศัยการคิดแบบ Win-win เข้ามาประกอบ และก็ต้องอาศัยเรื่องของการเข้าใจผู้อื่นก่อน เข้ามาช่วย พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องนำเอาอุปนิสัยที่ 4 และ 5 เข้ามาประกอบด้วย จากนั้น ก็คือ เราจะต้องคิดต่อยอดออกไปให้ได้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์แบบที่ไม่เหมือนเดิม
การที่เราทำงานเป็นทีมแต่ผลที่ออกมาไม่ต่างกับการที่เราทำงานคนเดียว แปลว่า ไม่เกิด Synergy กรณีแบบนี้มักเกิดขึ้นบ่อยๆ กับหัวหน้าทีมที่พยายามจะให้ลูกน้องคิดเหมือนตนเอง ทำในแบบที่ตนเองต้องการ และเมื่อทั้งทีมเชื่อฟังเราในฐานะหัวหน้า เราก็รู้สึกว่านี่แหละคือ การผสานพลังเพื่อให้เกิด Synergy แต่จริงๆ ตามหลักการของ 7 habits แล้วไม่ใช่เลย เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็เหมือนกับการที่หัวหน้าคิดคนเดียว ทำคนเดียว คนอื่นเป็นเพียงผู้ติดตาม และคอยทำตามคำสั่งเท่านั้น
ดังนั้นคำว่า Synergy ก็คือ การที่ทุกคนในทีมจะต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ช่วยกันคิด ต่อยอดจากสิ่งที่เคยทำๆ กันมา เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือเพื่อให้เกิดผลงานแบบทวีคูณได้ นี่คือทีมงานที่มี Synergy จริงๆ
คนที่มีประสิทธิผลสูง (High Effective People) ก็คือ คนที่สามารถดึงเอาความสามารถของคนอื่นออกมาใช้ และยังต้องสามารถผสมผสานความสามารถของแค่ละคนที่มีความแตกต่างกัน ให้เข้ามาเอื้อต่อผลสำเร็จตามเป้าหมายได้อีกด้วย
ในการทำงาน เราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้อย่างแน่นอน จะต้องมีเพื่อน มีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น และเราจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
"วันนี้คุณมองเห็นจุดดีในตัวของคนอื่นแล้วหรือยัง? และพร้อมที่จะผสานพลังจากคนเหล่านี้หรือเปล่า?"
7.) Sharpen the saw การหมั่นเลื่อยให้คมอยู่เสมอ
ถ้าเราต้องการที่จะเป็นคนที่มีประสิทธิผลสูง เราจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้เลย การที่เราคิดว่าเราเก่งแล้ว และไม่ต้องพัฒนาอะไรต่ออีกแล้ว นั่นเป็นความคิดที่ผิดมากสำหรับการพัฒนาตนเอง
Stephen ได้เล่านิทานสั้นๆ ให้อ่านเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้
คุณกำลังเดินเข้าไปในป่า แล้วเห็นชายคนหนึ่งกำลังขมักเขม้นตัดต้นไม้อยู่อย่างเหนื่อยอ่อน ก็เลยถามไปว่า
“กำลังทำอะไรอยู่น่ะ” ชายตัดไม้ตอบกลับมาแบบอารมณ์ไม่ค่อยดีนักว่า “ไม่เห็นหรือไงว่ากำลังตัดต้นไม้อยู่ ถามมาได้” พูดจบก็ปาดเหงื่อที่ท่วมใบหน้าออกอย่างเหนื่อยล้า
“แล้วเลื่อยมานานเท่าไหร่แล้วล่ะครับ” คุณถามต่อ
“ก็เลื่อยมานานกว่า 5 ชั่วโมงแล้ว และตอนนี้ก็เริ่มหมดแรงแล้ว ปกติใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงก็เสร็จแล้วไม้แบบนี้น่ะ” ชายตัดไม้ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่พักสักครู่เพื่อที่จะลับเลื่อยให้คมล่ะ” คุณให้คำแนะนำไป
ชายตัดไม้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นว่า “ผมไม่มีเวลามาลับคมหรอก เพราะผมกำลังยุ่งกับการเลื่อยอยู่”
ชีวิตของคุณเป็นแบบชายตัดไม้คนนี้หรือเปล่า ก็คือ มัวแต่ยุ่งกับการทำงานจนไม่มีเวลาที่จะพัฒนาตนเอง เพราะมีคนบอกให้เราไปพัฒนาตนเองบ้าง เราก็ตอบไปว่า งานเยอะจนไม่มีเวลาพัฒนาตนเองเลย ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผลงานของเราก็จะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะความรู้ต่างๆ มันพัฒนาไปตลอดเวลานั่นเอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น