คิดเปลี่ยน...ชีวิตเปลี่ยน
วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555
บทความสำหรับผ่านพ้นเวลาที่เลวร้าย
ในชีวิตคนเราเกิดมาต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ เพราะในชีวิตคนเราเกิดมาต้องเจอกับอะไรมากมาย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามารถที่จะท้อได้แต่อย่าถอยเด็ดขาด หากคุณท้อก็คงมองดูคิดว่าขนาดคนพิการไม่มีแขนขาเค้าก็ยังสู้ได้ ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ นับประสาอะไรกับเรามีครบหมดทุกอย่าง จะไม่คิดสู้ ให้คุณลองไปอ่านประวัติคนที่ประสบความสำเร็จดูก็ได้ว่า เค้าก็ต่างเคยล้มเหลวกันมาทั้งนั้น กว่าเค้าจะสำเร็จได้ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน ดังนั้นจงสู้ต่อไปนะคะ อย่าท้อหรือถ้าหากคุณท้ออยู่ก็ลองมาอ่านบทความนี้ดูเผื่อสามารถช่วยให้คุณผ่านพ้นเวลาที่เลวร้ายนี้ไปได้
- ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ตัวเราเอง
- ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอวดดีของตัวเราเอง
- การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกลวง
- สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอิจฉาริษยา
- ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การยอมแพ้ตัวเอง
- สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกตัวเอง
- สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความถดถอยของตัวเอง
- สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะ วิริยะ
- ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือความสิ้นหวัง
- ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
- หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ หนี้บุญคุณ
- ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้อภัยและความเมตตากรุณา
- ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
- สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้ทาน
ขอบคุณบทความจาก dhammathai.net
สัจธรรมของมหาวิทยาลัยชีวิต
หลายคนคิดว่าเมื่อจบปริญญามีงานทำ ชีวิตตนเองจะสำเร็จ
แต่ในความเป็นจริงเมื่อออกจากมหาวิทยาลัย หางานทำ
คุณกำลังเดินทางเข้าสู่มหาวิทยาลัยชีวิต
จะสำเร็จในชีวิต ได้ปริญญาชีวิตหรือไม่ ยังไม่แน่
เพราะความสำเร็จที่สำคัญที่สุด
ไม่ใช่แค่การเรียนหรือการงานในปัจจุบัน
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555
รักษาอาการสิวอักเสบจากภายในและภายนอก
มีน้องที่พี่รู้จักอยู่คนหนึ่งที่มีอาการสิวอักเสบเยอะมากๆ
ชื่อน้องบีเป็นโรคไทรอยด์ ฮอร์โมนเปลี่ยน และแพ้เครื่องสำอางค์
เป็นสิวที่หน้าเยอะมาก ใช้ผลิตภัณฑ์ ASNI และทาน Vital Star
หน้าตาที่ดีขึ้นมากๆ
รับประทานผลิตภัณฑ์ Vital star แบบจัดเต็ม
==============================
- ทานรำข้าว เช้าและก่อนนอน มื้อละ 3 เม็ด
- ทานเดอมารีน เช้าและก่อนนอน มื้อละ 2 เม็ด
- ทานลูมิไนซ์ เช้าและก่อนนอน มื้อละ 2 เม็ด
- ทานแคลฟิวล์ ก่อนนอน มื้อละ 2 เม็ด
ใช้ผลิตภัณฑ์ Asni แบบมีวินัย
====================
1. ใช้คลีนซิ่งมิลล์ นวดหน้าเบาๆ แล้วเช็ดออกด้วยสำลี
2. ล้างหน้าด้วยเจล สำหรับคนผิวแพ้ง่าย
3. ตามด้วยโทนนิ่งเอสเซนส์ ใช้แบบเอาสำลีแปะหน้าให้ทั่วหน้า
ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วเอาสำลีออก
4. จากนั้นมาส์กหน้าทิ้งไว้ทั้งคืนได้เลย ตื่นตอนเช้าลอกออกมาเป็นหน้ากาก
น้องบีใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์สิวอักเสบแห้งหมดเลย เหลือลอย
แผลเป็น ประมาณสองเดือนรอยแผลเป็นก็เริ่มจางลงเรื่อยๆ
ทำให้น้องบีหน้าใสเปลี่ยนชีวิตใหม่สดใส ไร้สิวอักเสบ
ลองศึกษาข้อมูลดูนะคะ หรือจะสอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
อย่าเสียดาย 4 ปีที่เรียนมา อย่าเสียดาย 10 ปีที่ทำงานมา
เราอย่าเสียดาย 4 ปีที่เรียนมา อย่าเสียดาย 10 ปีที่ทำงานมา
หลายๆคนเสียดายเวลา 4 ปีที่เรียนมา เลยเสียเวลาทั้งชีวิต
หลายๆคนเสียดาย 10 ปีที่ทำงานมา เลยเสียเวลาทั้งชีวิต
เพราะโลกมันเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตามโลก
อย่ารอให้โลกเปลี่ยนตามเรา เพราะมันเป็นไปไม่ได้
7 Habits for High Effective People (Part II)
7 Habits for High Effective People (Part II)
4.) Think win win การที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับใครก็แล้วแต่นั้น สิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือ จะต้องเปลี่ยนความคิดที่จะเอาชนะแต่ฝ่ายเดียว มาเป็นความคิดที่ว่า ชนะทั้งคู่ ไม่มีใครแพ้หรือรู้สึกแพ้นั่นเอง
ยกตัวอย่างเป็น 4 กรณี
กรณีที่ 1 - หัวหน้ากับลูกน้อง หัวหน้ามักจะมีความคิดที่จะต้องชนะลูกน้อง เพราะคิดว่าเราเป็นหัวหน้าต้องเหนือกว่าลูกน้องในทุกด้าน ลูกน้องห้ามเกินหน้าเกินตา ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าเขาได้ตามที่เขาต้องการและเราก็ได้ตามที่เราต้องการ แบบนี้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะยั่งยืนมากกว่า เช่น ถ้าเราอยากเป็นหัวหน้าที่ดีก็ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง ไม่ทำตัวข่มลูกน้องหรือทำให้ลูกน้องเสียหน้า ไม่ตำหนิลูกน้องต่อหน้าคนอื่น คอยส่งเสริมให้ลูกน้องเราได้ดี เวลามีผลงานก็ชื่นชมและบอกกับคนอื่นว่านี่คือผลงานของเขา
กรณีที่ 2 - เพื่อนร่วมงาน สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ ลดการข่มในทีลงบ้าง เราไม่จำเป็นต้องเอาชนะเพื่อนเราทุกอย่าง เวลาเขาพูดอะไร เราก็ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหรอกว่า "เรารู้แล้ว รู้นานแล้ว รู้มากกว่าด้วย" แบบนี้เป็นใครก็คงไม่ชอบ ถ้าเรารู้แล้ว ไม่ข่ม แต่พูดเพื่อทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ และเสริมในสิ่งที่เรารู้มากกว่าเข้าไป เขาก็จะรู้สึกว่าเรารับฟังเขาและยังส่งเสริมเขาอีกด้วย เขาก็จะรุ้สึกดีใจมากกว่า
กรณีที่ 3 - พ่อแม่กับลูก พ่อแม่ที่ดุลูกและต้องการเอาชนะลูกทุกอย่างเพราะคิดแค่เพียงว่าเขาเป็นพ่อแม่ต้องเหนือกว่าลูก ลูกก็จะกลายเป็นเด็กเก็บกด ถ้าต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ไม่ใช่เอาแต่ดุด่าว่ากล่าว โดยไม่ฟังสิ่งที่ลูกพูด เพราะแบบนี้พ่อแม่ชนะ-ลูกแพ้ แต่ลูกก็จะไปเอาชนะด้วยวิธีอื่นที่ไม่ถูกต้องแทน สุดท้ายพ่อแม่ก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง พ่อแม่ต้องคอยทำความเข้าใจ ค่อยสอนค่อยๆบอก โดยรับฟังเหตุผลของลูก และค่อยๆ แนะนำเค้ากลับไปด้วยเหตุผล แบบนี้จะรู้สึกดีทั้งสองฝ่ายมากกว่า
กรณีที่ 4 - สามีภรรยา อยู่ด้วยกันก็ย่อมจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นปกติ บางคนจะต้องเอาชนะให้ได้ โดยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียหน้าหรืออับอาย บางครั้งก็ทำไปเพื่อสร้างความสะใจให้กับตนเองมากกว่า เมื่อไหร่ที่มีแบบนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีก็จะไม่เกิดขึ้นได้เลย
นิสัยแบบ win-win ไม่ใช่การที่เรายอมให้คนอื่นชนะ เมื่อไหร่ที่เรายอม แปลว่า เรา Lose เมื่อเรารู้สึก Lose เมื่อไหร่ ก็จะทำให้เรารู้สึกไม่ดีเมื่อนั้น ฉะนั้นเราจะต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า สรุปแล้วสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ เป็นนิสัยแบบไหน
5.) Seek first to understand and then to be understood ถ้าอยากจะให้คนอื่นเข้าใจเรา เราจะต้องเข้าใจคนอื่นก่อน
คนเราส่วนใหญ่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ว่าเราจะพูดหรือทำอะไรก็อยากให้คนมาเข้าใจว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น แต่ไม่ค่อยจะมีคนไหนที่อยากจะเข้าใจคนอื่นก่อนว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น
หลักการสำคัญที่สุดก็คือ การฟัง แต่ต้องเป็นการฟังอย่างเข้าใจผู้อื่นเลยว่าเขาคิดอย่างไร ไม่ใช่แค่ฟังอย่างตั้งใจเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจกันเลยทีเดียว เสมือนว่าเราเป็นคนที่เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น
"เมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าเรากำลังเข้าใจเขา เขาก็พร้อมที่จะเข้าใจเราเช่นกัน"
6.) Synergize คือ การสร้างผลลัพธ์แบบทวีคูณจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น
เป็นเรื่องของการสร้างทีมงาน และการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้เกิดผลแบบทวีคูณ แบบที่เรียกว่า 1+1 ต้องได้มากกว่า 2 โดยต้องอาศัยการคิดแบบ Win-win เข้ามาประกอบ และก็ต้องอาศัยเรื่องของการเข้าใจผู้อื่นก่อน เข้ามาช่วย พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องนำเอาอุปนิสัยที่ 4 และ 5 เข้ามาประกอบด้วย จากนั้น ก็คือ เราจะต้องคิดต่อยอดออกไปให้ได้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์แบบที่ไม่เหมือนเดิม
การที่เราทำงานเป็นทีมแต่ผลที่ออกมาไม่ต่างกับการที่เราทำงานคนเดียว แปลว่า ไม่เกิด Synergy กรณีแบบนี้มักเกิดขึ้นบ่อยๆ กับหัวหน้าทีมที่พยายามจะให้ลูกน้องคิดเหมือนตนเอง ทำในแบบที่ตนเองต้องการ และเมื่อทั้งทีมเชื่อฟังเราในฐานะหัวหน้า เราก็รู้สึกว่านี่แหละคือ การผสานพลังเพื่อให้เกิด Synergy แต่จริงๆ ตามหลักการของ 7 habits แล้วไม่ใช่เลย เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็เหมือนกับการที่หัวหน้าคิดคนเดียว ทำคนเดียว คนอื่นเป็นเพียงผู้ติดตาม และคอยทำตามคำสั่งเท่านั้น
ดังนั้นคำว่า Synergy ก็คือ การที่ทุกคนในทีมจะต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ช่วยกันคิด ต่อยอดจากสิ่งที่เคยทำๆ กันมา เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือเพื่อให้เกิดผลงานแบบทวีคูณได้ นี่คือทีมงานที่มี Synergy จริงๆ
คนที่มีประสิทธิผลสูง (High Effective People) ก็คือ คนที่สามารถดึงเอาความสามารถของคนอื่นออกมาใช้ และยังต้องสามารถผสมผสานความสามารถของแค่ละคนที่มีความแตกต่างกัน ให้เข้ามาเอื้อต่อผลสำเร็จตามเป้าหมายได้อีกด้วย
ในการทำงาน เราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้อย่างแน่นอน จะต้องมีเพื่อน มีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น และเราจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
"วันนี้คุณมองเห็นจุดดีในตัวของคนอื่นแล้วหรือยัง? และพร้อมที่จะผสานพลังจากคนเหล่านี้หรือเปล่า?"
7.) Sharpen the saw การหมั่นเลื่อยให้คมอยู่เสมอ
ถ้าเราต้องการที่จะเป็นคนที่มีประสิทธิผลสูง เราจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้เลย การที่เราคิดว่าเราเก่งแล้ว และไม่ต้องพัฒนาอะไรต่ออีกแล้ว นั่นเป็นความคิดที่ผิดมากสำหรับการพัฒนาตนเอง
Stephen ได้เล่านิทานสั้นๆ ให้อ่านเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้
คุณกำลังเดินเข้าไปในป่า แล้วเห็นชายคนหนึ่งกำลังขมักเขม้นตัดต้นไม้อยู่อย่างเหนื่อยอ่อน ก็เลยถามไปว่า
“กำลังทำอะไรอยู่น่ะ” ชายตัดไม้ตอบกลับมาแบบอารมณ์ไม่ค่อยดีนักว่า “ไม่เห็นหรือไงว่ากำลังตัดต้นไม้อยู่ ถามมาได้” พูดจบก็ปาดเหงื่อที่ท่วมใบหน้าออกอย่างเหนื่อยล้า
“แล้วเลื่อยมานานเท่าไหร่แล้วล่ะครับ” คุณถามต่อ
“ก็เลื่อยมานานกว่า 5 ชั่วโมงแล้ว และตอนนี้ก็เริ่มหมดแรงแล้ว ปกติใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงก็เสร็จแล้วไม้แบบนี้น่ะ” ชายตัดไม้ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่พักสักครู่เพื่อที่จะลับเลื่อยให้คมล่ะ” คุณให้คำแนะนำไป
ชายตัดไม้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นว่า “ผมไม่มีเวลามาลับคมหรอก เพราะผมกำลังยุ่งกับการเลื่อยอยู่”
ชีวิตของคุณเป็นแบบชายตัดไม้คนนี้หรือเปล่า ก็คือ มัวแต่ยุ่งกับการทำงานจนไม่มีเวลาที่จะพัฒนาตนเอง เพราะมีคนบอกให้เราไปพัฒนาตนเองบ้าง เราก็ตอบไปว่า งานเยอะจนไม่มีเวลาพัฒนาตนเองเลย ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผลงานของเราก็จะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะความรู้ต่างๆ มันพัฒนาไปตลอดเวลานั่นเอง
7 Habits for High Effective People (Part I)
7 Habits for High Effective People (นิสัย/คุณลักษณะ 7 ประการสำหรับบุคคลที่มีประสิทธิผลสูง)
โดย Stephen R. Covey
หมายเหตุ : ขออนุญาติแบ่งออกเป็น 2 พาร์ท
Part I - อุปนิสัยที่ 1-3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเอง
Part II - อุปนิสัยที่ 4-6 เป็นเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ
---------------------------------------------------------------
7 Habits for High Effective People (Part I)
1.) Proactive คือ เป็นคนที่ไม่ทำตนลอยไปลอยมาตามสถานณ์ที่พาเราไป คนที่ proactive จะไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างภายนอก แต่เขาจะยืนหยัดในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกต้อง และทำให้เราสามารถควบคุมตนเองได้
นิสัยแรกนี้ ผู้เขียนเปรียบเทียบให้ฟังว่า คนเราต่างกับสัตว์ทั่วไปก็ตรงที่ เรานั้นมีสิทธิที่จะเลือกที่จะตอบสนองได้ ไม่เหมือนสัตว์ที่ตอบสนองตามสัญชาติญานเท่านั้น
ถ้าเราขาดสิ่งที่เรียกกว่า Proactive ก็จะทำให้เราไม่เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองเลย ทำอะไรก็เป็นไปตามสถานการณ์พาไป เข้าข่ายที่ว่า “ปล่อยให้ลมพาไป จะพัดพาเราไป จะไปไหนก็แล้วแต่สายลม” ไม่เป็นนายของตัวเอง แต่ให้สิ่งแวดล้อมภายนอกมาเป็นนายของเรา คนแบบนี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร
ถ้าคนที่มีนิสัยแบบ Proactive จะไม่เลือกที่จะทำให้ตนเองทำอะไรไปตามสถานการณ์ แต่จะเป็นคนที่ควบคุมตนเองเพื่อเอาสถานการณ์นั้นให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า เลือกที่จะคิดดี ทำดี ทำให้ตนเองสบายใจ และมีความสุข แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ลำบากสักแค่ไหนก็เลือกที่จะทำให้ตัวเองสบายใจได้
2.) Begin with the end in mind คือ การเริ่มต้นจากเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเรา เรื่องของเป้าหมายเป็นเรื่องที่จะต้องกำหนดให้ชัดเจนเลยว่าเราต้องการจะประสบความสำเร็จอะไร อย่างไร แล้วเราจะเริ่มต้นวางแผนจากเป้าหมายนั้นถอยกลับมาว่า ถ้าเราอยากจะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ เราจะต้องทำอะไรบ้าง และทำอย่างไร โดยกำหนดเป็นขั้นตอนให้ชัดเจน
"คนส่วนใหญ่ชอบที่จะฝัน แต่มากกว่า 50% ของคนเหล่านั้น คือ คนที่ไม่คิดจะลงมือทำอะไรเลย"
3.) Put first things first คือ สิ่งที่มีความสำคัญต่อการทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่ที่เราได้กำหนดไว้ในอุปนิสัยที่สอง ก็ให้เริ่มทำก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ ให้ทำทีหลัง (สำหรับอุปนิสัยนี้พูดกันง่ายๆ เลยก็คือ การจัดลำดับความสำคัญของงานที่ทำให้เป็น)
เปรียบเสมือนการนำก้อนหินใหญ่-เล็กและก้อนกรวดหลายๆ ชิ้นใส่ในถังหนึ่งใบ โดยให้เราใส่ก้อนหินขนาดใหญ่ลงไปก่อน ตามด้วยขนาดกลาง เล็ก จากนั้นก็เทก้อนกรวดลงไป ซึ่งกรวดเหล่านี้ก็จะไปแทรกอยู่ระหว่างช่องว่างของก้อนหินต่างขนาดกันนั่นเอง ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้ก้อนหินทุกก้อนถูกบรรจุลงในถังเปล่าได้พอดี
หินขนาดใหญ่เปรียบเสมือนงานที่สำคัญของเรา ก้อนกลาง เล็ก และกรวด สำคัญรองลดหลั่นกันลงมา ถ้าเรามัวแต่ไปใส่ใจกับงานเล็กๆ ที่ไม่สำคัญต่อเป้าหมายของเรา ก็จะทำให้เราไม่มีเวลาที่จะมาทำงานสำคัญของเรา ซึ่งทำให้เป้าหมายของเราไปไม่ถึงซักที สิ่งที่ควรจะทำก็คือ ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่สำคัญในชีวิตของเราก่อน จากนั้นเมื่อเวลาเหลือ ก็ค่อยมาดูงานเล็กๆ เหล่านั้นอีกที
ถ้าเรามีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อก็คือ การให้เวลาในกิจกรรมสำคัญ ที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายนั้นได้เร็วขึ้น และลดกิจกรรมที่ไม่สำคัญลง ใช้เวลาที่มีอยู่จำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรามากที่สุด ซึ่งในการทำตรงนี้จะต้องมีวินัยในตนเองมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องใช้นิสัยที่ 1 เข้ามาช่วยก็คือ Proactive นั่นเอง
ติดตามต่อไปใน Part II
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)